ทฤษฎีการเมืองเป็นผลมาจากการศึกษาค้นคว้าหาทางแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคแต่ละสมัย โดยการตั้งสมมติฐาน การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ การสรุปผล การตีความ การอธิบาย และการเสนอแนะเกี่ยวกับข้อเท็จจริงทางการเมืองที่เกิดขึ้นซ้ำๆกัน จนกลายเป็นกฎเกณฑ์หรือทฤษฎีทางการเมืองขึ้นมา ทฤษฎีการเมืองในปัจจุบันเป็นการแสวงหาความรู้หรือความจริงค่อนข้างมีความชัดเจนและสามารถอธิบายหรือทำนายปรากฎการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นได้ใกล้เคียงความเป็นจริง มีความน่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตามการวิวัฒนาการของทฤษฎีการเมืองในยุคปัจจุบันย่อมมีความเกี่ยวเนื่องกับทฤษฎีการเมืองในยุคโบราณเช่นกัน เพราะทฤษฎีการเมืองยุคโบราณเป็นพื้นฐานในการศึกษา ค้นคว้า หาคำตอบต่างๆ และมีการปรับปรุงแก้ไขในข้อบกพร่องอย่างต่อเนื่องยาวนาน ก่อให้เกิดแนวคิดทฤษฎีทางการเมืองใหม่ๆ ขึ้นมา
ความหมายของทฤษฎีการเมือง
ความหมายของทฤษฎีการเมืองมีหลากหลายทัศนะขึ้นอยู่กับการตีความและมุมมองของนักปราชญ์แต่ละท่าน ซึ่งพอที่จะประมวลได้ดังนี้
จรูญ สุภาพ (2528:1) ได้ให้ทัศนะว่า ทฤษฎีการเมืองมีลักษณะชัดเจนและแน่นอนกว่าปรัชญาการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับสาระ คำอธิบายและความหมาย โดยทั่วไปทฤษฎีการเมืองจะเป็นผลเนื่องมาจากการศึกษาค้นคว้าและพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงที่อาจรับกันได้ แต่อาจไม่เป็นความจริงแท้สมบูรณ์เหมือนวิทยาศาสตร์
ทฤษฎีการเมืองจะมีลักษณะที่สำคัญอย่างน้อย 3 ประการ คือ ข้อเท็จจริงหรือข้อมูลต่างๆ ที่ได้มาจากการศึกษารวบรวมความเป็นจริง หลักทั่วไปซึ่งได้มาจากการวิเคราะห์ข้อมูล และทดสอบข้อมูลเหล่านั้นจากสภาพที่เป็นจริงในสังคม คุณค่าซึ่งหมายถึงประโยชน์ที่จะพึงบังเกิดขึ้นได้ และน่าที่จะเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ
รอเบอร์ต อี. เมอร์ฟี่ (Robert E. Murphy) (1970 : 37) ให้ทัศนะว่า ทฤษฎีการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ความคิด หรือปรัชญาเกี่ยวกับการเมือง การปกครอง นักทฤษฎีการเมืองมุ่งมั่นที่จะทำความเข้าใจและตีค่าข้อมูลความจริงทั่วไปที่มีความสัมพันธ์กับการกำหนดสมมติฐาน (hypothesis) เกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมืองและคุณค่าทางสังคม
เอ็ดเวอร์ด ซี. สมิธ (Edward C. Smith) และอาร์โนลด์ เจ.เซอร์เชอร์ (Arnold J. Zurcher, 1968 : 288 – 9 ) เสนอคำจำกัดความที่ดูจะครอบคลุมลักษณะและขอบเขตของทฤษฎีการเมืองไว้ได้ทั้งหมด โดยให้ไว้ว่า ทฤษฎีการเมืองคือ “ส่วนทั้งหมดของคำสอน(doctrine) ที่เกี่ยวข้องกับกำเนิด, รูปแบบ, พฤติกรรม และจุดมุ่งหมายของรัฐ ส่วนของคำสอนนี้อาจแบ่งลักษณะออกเป็นประเภทได้ดังนี้ จริยธรรม, จินตนาการ, สังคมวิทยา, กฎหมาย, และวิทยาศาสตร์” สมิธและเซอร์เชอร์ให้อรรถาธิบายเกี่ยวกับลักษณะต่างๆ ดังนี้
1) ลักษณะแบบจริยธรรม (Ethical) ได้แก่ ส่วนของทฤษฎีการเมืองที่เกี่ยวข้องกับสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องในกิจกรรมทางการเมือง
2) ลักษณะแบบจินตนาการ (Speculative) คือส่วนที่เป็นความคิดฝัน หรือมโนภาพที่ยังไม่ปรากฏเป็นจริงขึ้นมา เช่น การใฝ่ฝันถึงรัฐในอุดมคติ หรือการวาดภาพเลิศนครในจินตนาการ
3) ลักษณะเชิงสังคมวิทยา (Sociological) เป็นส่วนของทฤษฎีการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์หรือทดลองเปรียบเทียบเพื่อแสวงหาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับส่วนอื่นๆ ของสังคม หรือการวิเคราะห์รัฐในรูปของการรวมตัวทางสังคม
4) ลักษณะแบบกฎหมาย (Legal) ได้แก่ส่วนที่ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของกฎหมาย สังกัปของกฎหมาย และสถานะทางกฎหมาย ซึ่งเกิดขึ้นมาจากสถาบันต่างๆ และเป็นเสมือนเครื่องมือที่จะกระจายและควบคุมการใช้อำนาจทางการเมือง
5) ลักษณะแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific) ได้แก่ทฤษฎีที่เกิดจากการสังเกตการณ์ การทดลอง เปรียบเทียบพฤติกรรมการเมืองเพื่อจะค้นหาแนวโน้มและความน่าจะเป็นไป การศึกษาสาเหตุและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ฯลฯ เป็นต้น (อ้างจาก สุขุม นวลสกุลและโกศล โรจนพันธุ์. 2544 : 3 – 4 )
สมบัติ จันทรวงศ์ (2527 : 26) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ทฤษฎีการเมืองหมายถึง กฎแห่งพฤติกรรมทางการเมืองซึ่งเป็นสากล ที่นักรัฐศาสตร์สามารถจะนำมาใช้ประโยชน์ในการทำนายเหตุการณ์ในอนาคตได้ จะเห็นได้ว่า “ทฤษฎีการเมือง” ตามความหมายนี้ เป็นผลสืบเนื่องโดยตรงมาจากการที่นักสังคมศาสตร์ พยายามทำให้ความรู้ทางสังคมศาสตร์ เป็นความรู้ที่อาจมีการพิสูจน์ หรือทดลองอย่างใดอย่างหนึ่งได้ เช่นเดียวกับกฎทางวิทยาศาสตร์ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง ในทางปฏิบัติ ทฤษฎีการเมืองตามนัยนี้ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดแก่วิธีการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล และหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในการประเมินค่านิยม (value judgement) ทฤษฎีการเมืองซึ่งพยายามอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ตั้งแต่สองอย่างขึ้นไป โดยนำข้อเสนอต่างๆมาวางเป็นกฎเกณฑ์ จึงสามารถมีได้หลายระดับ ตามความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูลที่ได้มาจากการสังเกตและพิสูจน์ และอาจมีขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมทั้งระบบ เช่น ทฤษฎีว่าด้วยระบบการเมือง หรือเฉพาะบางส่วนของกิจกรรมทางการเมือง เช่น ทฤษฎีพรรคการเมือง ทฤษฎีภาวะผู้นำ เป็นต้น
ตามความหมายดังกล่าวข้างต้น ทฤษฎีการเมือง หมายถึงหลักเกณฑ์หรือกฎเกณฑ์ทางการเมือง ที่เกิดจากการศึกษา ค้นคว้า และพิสูจน์ว่าเป็นความจริงและมีคุณค่าเพียงพอที่จะใช้เป็นแนวทางในการนำไปปฏิบัติหรือใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง
ศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีการเมือง
ทฤษฏีการเมืองมีความเกี่ยวข้องกับศัพท์เฉพาะทางการเมือง เช่น ปรัชญาทางการเมือง ความคิดทางการเมือง อุดมการณ์ทางการเมือง ลัทธิการเมือง และสังกัปทางการเมือง
1) ปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) เฮนรี บี เมโย(Henry B. Mayo, 1960) ให้ความหมายว่า หมายถึงหลักจริยธรรมซึ่งถือเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายสังคม ปรัชญาทางการเมืองเป็นเสมือนหลักการหรือเหตุผลหรือความยึดมั่นของรัฐ หรือถ้าจะอธิบายอีกแง่หนึ่ง ปรัชญาทางการเมืองเป็นเสมือนรากฐานของระบบการเมือง ระบบการเมืองทั่วไปแต่ละแบบก็มักจะมีปรัชญาการเมืองของตัวเองที่เหมาะสมกับความต้องการและสิ่งแวดล้อม (อ้างจาก จรูญ สุภาพ : 2522)
สมพงษ์ เกษมสิน ได้ให้ความหมายของปรัชญาการเมืองไว้ว่า
ปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) เป็นการศึกษาการเมืองในระดับลึกซึ้งและเกี่ยวโยงกับสาขาอื่นด้วย เพื่อให้รู้แจ้ง ปรัชญาการเมืองมักเน้นหลักจริยธรรมซึ่งเป็นเสมือนหลักการหรือเหตุผลที่ถูกต้องและมีคุณธรรม ถือเป็นรากฐานของระบบการเมืองแต่ละแบบ ปรัชญาการเมือง “อาจมีลักษณะที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ คือเป็นข้อคิดที่อาจพิสูจน์ไม่ได้ และมุ่งค้นหาสิ่งต่างๆ หรือหาความสัมพันธ์ต่างๆในส่วนที่วิทยาศาสตร์เข้าไปไม่ถึง” (อ้างจากสุขุม นวลสกุลและโกศล โรจนพันธุ์, 2544 : 2 )
จรูญ สุภาพ (2528 : 2) ได้ให้ความหมายของปรัชญาการเมืองอีกนัยหนึ่งว่า
ปรัชญาการเมือง หมายถึง จินตนาการหรือการคาดการณ์ต่างๆ หรือ ความปรารถนาที่จะกำหนดลักษณะในด้านการเมืองและการปกครองที่ดีที่สุดและสมบูรณ์ที่สุด ดังนั้น ปรัชญาทางการเมืองจึงอาจไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะสิ่งที่ปรากฏในปรัชญาการเมืองมักจะเน้นถึงจินตนาการหรือความมุ่งหวัง หรือความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้บรรลุถึงซึ่งความสมบูรณ์แบบแห่งการเมืองและการปกครอง ปรัชญาทางการเมืองมุ่งค้นหาสิ่งต่างๆ หรือหาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ ในส่วนที่วิทยาศาสตร์เข้าไปไม่ถึง
2. ความคิดทางการเมือง (Political Thought)
จรูญ สุภาพ (2522 : 7) ได้ให้ความหมายว่า ความคิดทางการเมือง หมายถึงความคิดความเชื่อของมนุษย์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในยุคใดยุคหนึ่ง แนวความคิด ลัทธิการเมืองที่สำคัญๆ ในปัจจุบันนี้เกิดขึ้นจาก แนวความคิดของบุคคลที่มีสติปัญญา สามารถนำเอาความรอบรู้ ประสบการณ์ และข้อสังเกตเกี่ยวกับปรากฏการณ์ของสังคม เช่น พฤติกรรมของบุคคล ความปรารถนา ความต้องการ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่อยู่ในสังคมเดียวกัน ความร่วมมือหรือความขัดแย้งกัน รวมตลอดถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิดความสงบสุข หรือปัญหาต่างๆที่ทำให้หลักประกันในชีวิตของบุคคลต้องเสื่อมคลายลง ทำให้เกิดความไม่มั่นคงในการดำรงชีวิต นอกจากนั้น ก็เป็นข้อคิดเกี่ยวกับการมีและการใช้อำนาจการปกครองในสังคมว่าควรจะเป็นไปในแนวใด เพื่อให้บังเกิดผลหรือประโยชน์สูงสุดต่อบรรดาผู้เป็นสมาชิกแห่งสังคมนั้น
สุขุม นวลสกุลและโกศล โรจนพันธุ์ (2544 : 1) ได้ให้ความหมายของความคิดทางการเมืองว่า ความคิดทางการเมือง หมายถึง ความคิดที่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองอย่างกว้างๆ ความคิดทางการเมืองที่ใช้ตามนัยแห่งภาษาอังกฤษ เป็นเสมือนยาหม้อใหญ่ที่รวมหลายๆอย่างเข้าด้วยกัน ความคิดทางการเมืองมีแนวโน้มไปในทางด้านพรรณนา(descriptive) และมักเน้นหนักความคิดเชิงประวัติศาสตร์ คือเรียงลำดับว่าใครคิดอย่างใด เมื่อใด ปกติไม่ค่อยมีการแยกหัวข้อวิเคราะห์
3. อุดมการณ์ทางการเมือง (Political Ideology) มักใช้ในรูปความเชื่อและความคิดในระดับที่ไม่ลึกซึ้งนัก เน้นความเชื่อศรัทธามากกว่าเหตุผล แต่อุดมการณ์ทางการเมืองมีผลในการยึดถือและมักเป็นพลังผลักดันให้เกิดการกระทำ หรือความเคลื่อนไหวทางการเมือง อุดมการณ์ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือยึดหลักศีลธรรมและคุณธรรม แต่เป็นความคิดหรือความเชื่อที่ปลูกฝังเพื่อให้เกิดผลทางการเมือง (สุขุม นวลสกุลและโกศล โรจนพันธ์ (2544 : 2)
C.J. Friedrich and Z.K. Brzinski (1961) ได้ให้ความหมายว่า อุดมการณ์ทางการเมืองเป็นเสมือนเป้าหมาย หรืออุดมคติทางการเมืองที่เป็นพลังผลักดันให้มนุษย์มีพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือปฏิบัติการอย่างใดๆ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย (อ้างจาก จรูญ สุภาพ : 2522)
สมบัติ จันทรวงศ์ (2527 : 25) ได้ให้ทรรศนะไว้ว่า
อุดมการณ์ทางการเมือง (Political Ideology) ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นความคิดทางการเมืองที่มุ่งผลในทางปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการปกปักรักษาระบบการเมืองอย่างที่เป็นอยู่ หรือการวิพากษ์ระบบที่เป็นอยู่ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและการเกิดของระบบใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดทางการเมืองที่มีฐานอยู่บนความเชื่อที่ว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสถาบันทางสังคมเสียใหม่ให้สมบูรณ์ จะยังผลให้มนุษย์บรรลุถึงความสมบูรณ์ได้โดยอัตโนมัติ
4. ลัทธิการเมือง (Political Ism)
ชัยอนันต์ สมุทวณิช ได้ให้ความหมายไว้ว่า
ลัทธิการเมือง (Political Ism) ได้แก่ หลักการทางการเมืองซึ่งมีลักษณะผสมผเสจากความคิดหรือทฤษฎีของเมธีหลายท่านประกอบกันเป็นแนวความคิดเกี่ยวกับระบบการเมือง ชี้แนะและการจัดวางอำนาจ,โครงสร้างทางการเมือง, ความเกี่ยวพันระหว่างองค์กรที่ใช้อำนาจกับบุคคล และประโยชน์คุณค่าที่จะบังเกิดขึ้นในการปฏิบัติตามลัทธิ อย่างไรก็ตาม “ลัทธิการเมืองหนึ่งๆ อาจนำเอาความคิดจากปรัชญาการเมืองหลายความคิดมาผสมผสานกันก็ได้ หรือปรัชญาการเมืองหนึ่งๆ อาจก่อนให้เกิดลัทธิการเมืองมากกว่าหนึ่งลัทธิได้” (อ้างจากสุขุม นวลสกุล และโกศล โรจนพันธุ์, 2544 : 2)
จรูญ สุภาพ (2528 : 1) ได้ให้ความหมายลัทธิการเมืองไว้ว่า
ลัทธิการเมือง หมายถึงแนวความคิดเกี่ยวกับระบบการเมือง โดยมุ่งอธิบายสาระสำคัญแห่งระบบการเมือง อันได้แก่ อำนาจทางการเมืองและอำนาจของรัฐ ขอบเขต ที่มา ที่ตั้งของอำนาจดังกล่าวนี้ และความเกี่ยวพันระหว่างองค์การหรือหน่วยงานที่ใช้อำนาจรัฐกับบุคคล ซึ่งเป็นองค์ประกอบแห่งรัฐนั้น ตลอดถึงผลประโยชน์และคุณค่าที่จะบังเกิดขึ้นต่อบุคคล ซึ่งรวมกันขึ้นเป็นสังคมหรือชุมชน
ดังนั้น จึงปรากฏว่าลัทธิบางลัทธิสนับสนุนให้อำนาจรัฐหรืออำนาจทางการเมืองมีมาก ซึ่งมีผลทำให้สิทธิและบทบาทของประชาชนมีน้อยลง แต่บางลัทธิได้สนับสนุนให้บทบาทและอำนาจของบุคคลมีมากและมุ่งจำกัดอำนาจทางการเมืองหรืออำนาจรัฐไม่ให้มากจนเกินไป
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและบุคคลจึงมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามแบบลัทธิที่ได้เกิดขึ้น
ที่สำคัญก็คือ ทุกลัทธิมีเหตุผลที่จะสนับสนุนคุณประโยชน์แห่งลัทธิ ซึ่งหมายถึงคุณค่าที่อาจเกิดขึ้นได้จากการใช้ลัทธินั้นในการกำหนดวิถีชีวิตความเป็นอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในสังคมเสมอ
จะเห็นได้ว่าลัทธิการเมืองนั้นเป็นผลมาจากเหตุผลหลายประการดังกล่าวแล้วข้างต้น ลัทธิการเมืองอาจนำเอาแนวความคิดหลายแนว ปรัชญาการเมือง ทฤษฎีการเมืองหลายส่วนมาผสมผสานกันได้ หรืออาจเกิดขึ้นจากแนวความคิดเดียวหรือปรัชญาการเมืองเดียวก็ได้ นอกจากนั้น แนวความคิดและปรัชญาการเมืองบางอย่างซึ่งมีสาระที่ลึกซึ้ง กว้างขวาง มีเหตุผล หรือเป็นความจริง ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดลัทธิการเมืองแบบต่างๆได้เช่นกัน ดังจะเห็นได้ว่าปรัชญาการเมืองบางประการ เช่น ปรัชญาในเรื่องเสรีภาพของบุคคล จะปรากฏให้เห็นเนื้อหาสาระสำคัญของลัทธิการเมืองแบบปัจเจกชนนิยม เสรีนิยม อนาธิปไตย และสังคมนิยมแบบประชาธิปไตย
5. สังกัปทางการเมือง (Political Concepts)
สุขุม นวลสกุลและโกศล โรจนพันธุ์ (2544 : 2) ได้ให้ความหมายไว้ว่า
สังกัปทางการเมือง หมายถึงความคิดหรือทรรศนะเกี่ยวกับศัพท์เชิงนามธรรมทางการเมือง เช่น ความยุติธรรม, จุดมุ่งหมายแห่งรัฐ, ผู้ปกครองที่ดี, สิทธิ, ความมั่นคงแห่งรัฐ เป็นต้น ศัพท์เหล่านี้มีความหมายไปหลายทางตามความเข้าใจหรือการพิจารณาของแต่ละคน ทฤษฎีการเมืองเป็นการพยายามหาความเกี่ยวโยงระหว่างสังกัปต่างๆ ดังกล่าวโดยให้ต้องด้วยเหตุผลและความเหมาะสม
แนวความคิดที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีการเมือง
จรูญ สุภาพ (2528 : 3) ได้กล่าวถึงแนวความคิดที่มีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีการเมืองไว้ดังนี้ คือ ทฤษฎีการเมืองมุ่งให้หลักเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญดังต่อไปนี้
1. กลุ่ม หมายถึงกลุ่มอิทธิพลที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของบุคคล
2. ดุลยภาพ หมายถึงสภาวะที่สามารถดำรงอยู่ได้
3. อำนาจ การควบคุม และอิทธิพล ปัจจุบันถือว่าเป็นแนวความคิดที่สำคัญอย่างยิ่งในทฤษฎีการเมือง
4. การดำเนินการหรือการปฏิบัติการ หมายถึงพฤติกรรมของบุคคลหรือกลุ่มในสภาวการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อนำไปสู่จุดหมายปลายทางที่มุ่งหวัง
5. ชนชั้นนำ หมายถึงกลุ่มผู้นำหรือชั้นผู้นำ ซึ่งจะต้องปรากฏอยู่ในทุกระบบการเมือง
6. การตัดสินใจ ถือเป็นแนวความคิดพื้นฐานประการหนึ่งในทางการเมือง ระบบ กระบวนการและผลของการตัดสินใจนั้นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะแห่งระบบการเมืองต่างๆได้
7. ปฏิกิริยาและเกม หมายถึงการกระทำที่มีลักษณะโต้ตอบต่อการกระทำใดๆ เป็นการศึกษาในทำนองคาดคะเนว่าปฏิกิริยาโต้ตอบควรจะเป็นประการใด แนวความคิดในข้อนี้ถือได้ว่า เป็นแนวความคิดในระบอบรองของแนวความคิดที่เกี่ยวกับการตัดสินใจ
8. หน้าที่ หมายถึงการมุ่งศึกษาถึงหน้าที่หรือการดำเนินงานเพื่อให้บังเกิดผล หน้าที่เหล่านี้บางครั้งก็อาจจะมีผลกระทบต่อสังคม หรือบางทีอาจเป็นสิ่งที่สนับสนุนสังคมนั้นได้ เช่น หน้าที่ของความเชื่อ แบบแผนแห่งพฤติกรรม สถาบัน และวิทยาศาสตร์
แนวความคิด (8 ประการ) ดังกล่าวข้างต้นนี้ นับเป็นเรื่องใหม่ในทฤษฎีการเมือง แต่แนวความคิดที่มีอยู่เดิมของทฤษฎีการเมืองนั้นก็ยังมีความสำคัญอยู่ เช่น สถาบัน รัฐบาล เสรีภาพ ความยุติธรรม ความเสมอภาค อำนาจอธิปไตย และลักษณะสำคัญสากลของมนุษย์ เป็นต้น
กล่าวโดยสรุป ทฤษฎีการเมืองช่วยให้วิชาการปกครองหรือวิชารัฐศาสตร์มีลักษณะเป็นปึกแผ่น มีกฎเกณฑ์และแน่นอนมากขึ้น
ผลจากทฤษฎีการเมืองนี้เป็นรากฐานที่สำคัญประการหนึ่งที่ช่วยให้ลัทธิการเมืองได้ก่อรูปขึ้น และสร้างเสริมให้ลัทธิการเมืองมีขอบเขตกว้างขวาง ทั้งในด้านสาระเนื้อหา รวมตลอดจนเป็นสิ่งที่ช่วยให้ลัทธิการเมืองนำมาใช้เป็นประโยชน์เพื่อกำหนดระบบการเมืองแห่งลัทธิการเมืองนั้นๆ ข้อคิดจากทฤษฎีการเมืองจึงถือเสมือนเป็นข้อมูลและหลักเกณฑ์สำคัญประการหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างลัทธิการเมืองให้บังเกิดขึ้นได้
หน้าที่ของทฤษฎีการเมือง
ทินพันธุ์ นาคะตะ (2541 : 41) ได้กล่าวถึงหน้าที่ของทฤษฎีการเมืองในปัจจุบันไว้ดังนี้
หน้าที่ของทฤษฎีการเมืองปัจจุบัน ที่สำคัญๆ ควรมีดังนี้ คือ ประการแรก ช่วยรวบรวมความรู้ต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยทำหน้าที่เป็นกรอบแห่งแนวความคิด ที่ช่วยกำหนดความหมาย และจัดระเบียบข้อมูล เกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่างๆที่มีอยู่มากมาย รวมทั้งช่วยให้เกิดความเข้าใจปรากฏการณ์ทางการเมืองต่างๆ ได้ดีขึ้น ประการที่สอง ช่วยจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วน เกี่ยวกับเรื่องที่จะทำการศึกษาวิจัยกันต่อไป โดยใช้เป็นเกณฑ์ในการมองปัญหาและตัวแปรต่างๆ ประการที่สาม ช่วยเป็นแนวทางสำหรับการจัดระเบียบ และการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงต่างๆ ในรูปของคำกล่าวเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ค้นพบกันแล้ว เป็นการประมวลความรู้ต่างๆ ประการที่สี่ ช่วยให้มีแนวความคิดที่ทดสอบได้เกี่ยวกับโลกแห่งความเป็นจริง และประการสุดท้าย ช่วยให้มีกรอบแห่งแนวความคิด มีเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ รวมทั้งมีตัวแบบสำหรับการมองตัวแปรต่างๆ ในจำนวนที่จำกัด
จุดมุ่งหมายของทฤษฎีการเมือง
จรูญ สุภาพ (2528 : 3) ได้กล่าวไว้ดังนี้
จุดมุ่งหมายของทฤษฎีการเมือง ทฤษฏีการเมืองเสนอแนะเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางของรัฐหรือการปกครองได้ด้วย จุดหมายปลายทางนี้เป็นเรื่องสำคัญ เช่น ทฤษฎีการเมืองจะให้แนวความคิดดังนี้ ความหมายของวัตถุประสงค์และจุดหมายปลายทางของการปกครอง โอกาสที่จะเข้าถึงจุดหมายปลายทางดังกล่าว การลงทุน หรือ “ราคา” ของการที่จะได้มาซึ่งจุดหมายปลายทางที่ได้กำหนดขึ้น รวมตลอดถึงผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น ผลที่ตามมา จากการดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ รวมทั้งการเสี่ยงภัยต่างๆที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัตินั้น ปรากฏการณ์ ที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากการกระทำเพื่อให้เข้าถึงซึ่งจุดหมายปลายทาง
ประโยชน์ของทฤษฎีการเมือง
สมพงศ์ เกษมสิน (2519 : 8) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของทฤษฎีการเมืองไว้ว่า ปัจจุบันนี้ทฤษฎีการเมืองวิวัฒนาการมาสู่รูปแบบที่มีลักษณะการใช้หลักเกณฑ์การพิสูจน์ทฤษฎี หรือสมมติฐานที่ตั้งขึ้น โดยวิธีการแบบวิทยาศาสตร์ ใช้วิธีการวิจัยจากข้อมูลที่รวบรวมตามหลักการ ทำให้ผลลัพธ์หรือข้อสรุปมีความแม่นยำมากขึ้น แม้จะไม่แน่นอนเหมือนกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Nature Science) แต่ก็นับว่ามีความถูกต้องสูงกว่าวิธีการแบบเดิมที่ใช้เพียงวิธีการสังเกตการณ์และเปรียบเทียบ เพราะฉะนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ทฤษฎีการเมืองมีคุณค่าที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือช่วยให้วิชาการปกครองหรือวิชารัฐศาสตร์มีลักษณะเป็นปึกแผ่น มีกฎเกณฑ์และแน่นอนมากขึ้น
ลอเรนซ์ ซี. แวนลาสส์ (Lawrence C. Wanlass, 1953 : 14)กล่าวถึงคุณค่าและประโยชน์ของทฤษฎีการเมือง ดังนี้
1. ทฤษฎีการเมืองช่วยให้คำจำกัดความที่ถูกต้องแก่ศัพท์ทางการเมือง เช่น คำว่า เสรีภาพ, ประชาธิปไตย, ฯลฯ คำจำพวกนี้นิยมใช้กันโดยทั่วไปไม่เฉพาะแต่นักศึกษารัฐศาสตร์เท่านั้น ทฤษฎีการเมืองสอนให้รู้ซึ้งถึงความหมายที่แท้จริงของศัพท์เฉพาะเหล่านี้ ซึ่งจะมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากในการแสดงโวหารทางการเมือง โน้มน้าวความคิดเห็นของผู้อื่น
2. ทฤษฎีการเมืองมีส่วนช่วยอย่างมากในการทำให้เข้าใจประวัติศาสตร์ เพราะนำผู้ที่ศึกษาให้เข้าสู่บรรยากาศความคิดในสมัยก่อน ช่วยให้เข้าใจถึงพลังผลักดันที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญๆ เพราะเหตุที่ว่าปรากฏการณ์ในอดีตเป็นผลมาจากการกระทำของมนุษย์ จึงเป็นการจำเป็นที่จะต้องทราบถึงความคิดที่ชักจูงให้เกิดการกระทำนั้น เช่น การที่จะเข้าใจถ่องแท้ถึงประวัติศาสตร์โลกสมัยกลาง (Middle Ages) นั้น จำเป็นต้องทราบถึงการพิพาทแย่งความเหนือกว่าในการปกครองคนระหว่างจักรพรรดิกับสันตปาปา เป็นต้น
3. ความรู้ในความคิดทางการเมืองแห่งอดีตนั้นมีส่วนช่วยให้เข้าใจถึงการเมืองในสมัยปัจจุบัน เพราะปัญหาทางการเมืองในปัจจุบันล้วนเกิดขึ้นจากสถานการณ์ในอดีต หรืออาจเทียบเคียงได้กับปรากฏการณ์ในอดีต และหลักการเมืองต่างๆ ที่นำมาใช้เป็นผลจากวิวัฒนาการของความคิดทางการเมืองสมัยก่อน เช่น ทฤษฎีการแบ่งแยกอำนาจในระบบการปกครองของสหรัฐอเมริกา มีรากฐานมาจากความคิดของเมธีการเมืองสมัยกลาง เป็นต้น
4. ทฤษฎีการเมืองสอนให้มีความเข้าใจในนโยบายและการปรับปรุงโครงร่างทางการปกครอง เพราะประเทศทุกประเทศต้องมีหลักการอันเกิดจากปรัชญาการเมืองใดปรัชญาหนึ่งเป็นสิ่งนำรัฐบุรุษและประชาชน ในการวางนโยบายหรือปฏิรูปการปกครอง ความก้าวหน้าหรือประสบความสำเร็จของระบบการเมืองในประเทศเป็นผลมาจากการวางโครงร่างการปกครองอยู่ทฤษฎีการเมืองที่เหมาะสมกับสภาพการณ์ และความต้องการของประเทศนั้น
5. คุณค่านอกเหนือไปจากที่กล่าวมาแล้ว ได้แก่ การที่ทฤษฎีการเมืองเป็นเสมือนตัวแทนแสดงให้เห็นถึงความรุ่งโรจน์แห่งอาณาจักรทางปัญญาในสมัยต่างๆ รัฐในอุดมคติหรือเลิศนครแห่งจินตนาการล้วนแต่เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์และความพยายามที่จะใช้ความรู้ความเฉลียวฉลาดเสนอแนะรูปแบบที่ดีที่สุดแห่งการปกครอง (อ้างจาก สุขุม นวลสกุล และโกศล โรจนพันธุ์, 2544 : 6)
สรุป
ทฤษฎีการเมืองโบราณมีลักษณะเป็นปรัชญาการเมืองมากกว่า เพราะเป็นการเน้นรูปแบบการเมืองในลักษณะของอุดมคติ อุดมการณ์ แนวคิด การศึกษาวิเคราะห์ โดยยึดหลัก จริยธรรมและคุณธรรมของผู้ปกครองว่าที่ดีที่สุดหรือที่เลวที่สุดเป็นอย่างไร รูปแบบการปกครองที่พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์เป็นอย่างไร โดยเกิดจากการศึกษา ค้นคิดขึ้นมาเองของนักปราชญ์เป็นส่วนมาก โดยไม่ได้มีการศึกษาทดสอบ วิเคราะห์ในเชิงวิทยาการที่เป็นที่ยอมรับได้ในหลักการว่า ถูกต้องเที่ยงตรง เพียงแต่อาศัยความมีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือของเจ้าของแนวความคิดเท่านั้น ก็นำไปสู่แนวทางการปฏิบัติ ซึ่งผลที่ตามมาจึงเกิดการเมืองการปกครองในหลากหลายรูปแบบ หลายระบบ และหลายลัทธิ ซึ่งการศึกษาทฤษฎีการเมืองในสมัยโบราณนี้จึงมีลักษณะเหมาะที่จะเป็นการศึกษาปรัชญา หรือประวัติศาสตร์มากกว่ารัฐศาสตร์ การศึกษาทฤษฎีการเมืองสมัยใหม่เริ่มจากหลังสงครามโลกครั้งที่สองมีความเป็นทฤษฎีมากขึ้น มีความน่าเชื่อถือค่อนข้างมีความเที่ยงตรงตามหลักวิธีการทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น การแสวงหาข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงโดยวิธีทางศาสตร์ การสร้างทฤษฎีทางการเมือง จึงยึดหลักความเป็นจริงที่เป็นผลมาจากการวิจัย จึงมีข้อเท็จจริง หลักการและคุณค่า น่าจะเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติได้ อย่างไรก็ตามแม้ทฤษฎีการเมืองจะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการสร้างทฤษฎี แต่ไม่อาจถือว่าเป็นวิทยาศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์ธรรมชาติได้ เพราะข้อเท็จจริงของพฤติกรรมทางการเมืองนั้นเปลี่ยนแปลงได้ ต่างจากข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ซึ่งมีความเที่ยงตรง อาจพิสูจน์ได้ตลอดเวลา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น